ประตูโทนจากปีเตอร์ เคร้าช์ กองหน้าร่างโย่งเพียงพอที่จะทำให้ลิเวอร์พูล ชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ในเอฟเอ คัพ รอบที่ 5 ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อวันเสาร์
ที่น่าแปลกใจก็คือ มันเป็นครั้งแรกที่สโมสรสีแดงแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์เอาชนะคู่แค้นผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ในรอบ 85 ปี
มันเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดตามปกติจนบางครั้งถึงกับบ้าคลั่งระหว่าง 2 สโมสรซึ่งพบกันมามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และครั้งนี้ก็เป็นการต่อสู้ที่ดุเด็ดเผ็ดมันเหมือนครั้งอื่นๆ
และหากผลการแข่งขันยังไม่ย่ำแย่เพียงพอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกเมื่ออลัน สมิธ ได้รับอาการบาดเจ็บสาหัสที่ขาซ้ายหลังจากล้มลงมาทับตัวเองอย่างแรงในช่วงท้ายเกม นักเตะที่อยู่ใกล้เหตุการณ์แสดงอาการตื่นตระหนกอย่างยิ่งต่อความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับสมิธ
อย่างไรก็ตาม กองเชียร์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเดินออกจากสนามแอนฟิลด์ อย่างมีความมุ่งมั่นด้วยการหันไปสนใจที่นัดชิงชนะเลิศ คาร์ลิ่ง คัพ ในสัปดาห์หน้าที่จะพบกับวีแกน แอธเลติก ในกรุงคาร์ดิฟฟ์ และเป็นความหวังที่แท้จริงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่ของทีมในการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้
รุด ฟาน นิสเตลรอย ส่งบอลข้ามเส้นประตูไป 2 ครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธการได้ประตูด้วยการยกธงล้ำหน้าทั้ง 2 ครั้ง
มีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้นกับกองเชียร์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงก่อนเริ่มเกมเมื่อมีการประกาศออกมาว่าริโอ เฟอร์ดินานด์ จะไม่ได้มีส่วนร่วมในนัดนี้ กองหลังทีมชาติอังกฤษมีอาการบาดเจ็บที่เอ็นหลังหัวเข่าในช่วงการฝึกซ้อม เนมานย่า วิดิช ได้ทำหน้าที่แทนในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ
แกรี่ เนวิลล์ กลับมาเป็นกัปตันทีมปิศาจแดง ในขณะที่คีแรน ริชาร์ดสัน ซึ่งได้ลงเล่นแทนที่ของปาร์ค จีซุง เป็นการเปลี่ยนแปลงทีมอีกตำแหน่งจากชุดที่เอาชนะปอร์ทสมัธ ได้ในสัปดาห์ที่แล้ว
ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนแปลงทีม 3 ตำแหน่งจากชุดที่เอาชนะอาร์เซน่อล 1-0 ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ โดยโฆเซ่ เรน่า, ปีเตอร์ เคร้าช์ และดีทมาร์ ฮามันท์ ลงเล่นแทนที่ของเจอร์ซี่ ดูเด็ค, ซาบี อลอนโซ๋ และร็อบบี้ ฟาวเลอร์
บรรยากาศภายในสนามแอนฟิลด์ ในช่วงก่อนเริ่มเกมน่าตื่นตาตื่นใจมาก เดอะค็อปเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาดระหว่างแห่ผ้าใบ “You’ll Never Walk Alone” ในขณะที่อีกด้านหนึ่งบนอัฒจันทร์ฝั่งแอนฟิลด์ โร้ด แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 6,000 คน ก็ส่งเสียงเชียร์ให้ได้ยิน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในชุดทีมเยือนสีน้ำเงินล้วนเขี่ยลูกเริ่มเกมศึกแดงเดือดนัดนี้ และภายในไม่กี่วินาที แกรี่ เนวิลล์ กัปตันทีมปิศาจแดง ก็ได้บอลพร้อมกับเสียงโห่ไปทั่วจากแฟนบอลของลิเวอร์พูล
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งลงเล่นทางฝั่งซ้ายเริ่มเกมได้ดีและเป็นนักเตะคนแรกที่ได้โอกาสทำประตู เขาพาบอลตัดเข้ากลางก่อนที่จะยิงเรียด แต่โฆเซ่ เรน่า รับไว้ได้อย่างสบาย
ในนาทีที่ 11 แฮร์รี่ คีเวลล์ ปีกทีมชาติออสเตรเลียเปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้ากลาง เวส บราวน์ เตะสกัดไม่ดีนักแต่บอลก็ลอยโค้งออกหลังประตูไป
เกมเริ่มกลายเป็นศึกแดงเดือดตามปกติพร้อมกับมีการผสมของศึกเอฟเอ คัพ รวมอยู่ด้วย ลิเวอร์พูล ครองเกมได้ดีกว่าในช่วงแรกและพวกเขาก็ทำประตูขึ้นนำจนได้ในนาทีที่ 19 จากปีเตอร์ เคร้าช์
ก่อนหน้านั้นไม่กี่วินาที เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ต้องโชว์ซูเปอร์เซฟเพื่อพุ่งไปปัดลูกโหม่งของคีเวลล์ ออกหลังไป มันเป็นการป้องกันด้วยมือเดียวที่ไม่น่าเชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เปิดลูกเตะมุมสั้นไปให้สตีฟ ฟินแน่น เปิดเข้ากลางไปให้กับเคร้าช์ ได้โหม่งเต็มหัว ฟาน เดอร์ ซาร์ พุ่งไปปัดโดนปลายมือแต่บอลก็ยังลอยไปชนเสาเด้งเข้าประตูไป ลิเวอร์พูล ขึ้นนำไปก่อน 1-0 ในนาทีที่ 19
ลิเวอร์พูล ยังคงเดินหน้าเปิดเกมรุกได้ดีกว่า แต่เป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้ รุด ฟาน นิสเตลรอย ยิงบอลผ่านมือเรน่า เข้าไป แต่โชคไม่ดีที่ผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้าขึ้นมาก่อนแล้ว
เวย์น รูนี่ย์ ก็เหมือนกับเนวิลล์ ที่ได้รับ ‘การดูแล’ เป็นอย่างดีจากแฟนบอลเจ้าถิ่นด้วยเสียงโห่ และมีครั้งหนึ่งที่เขาแสดงอาการหยอกล้อใส่แฟนบอลจำนวนมหาศาลในฝั่งเดอะค็อป
เข้าสู่ช่วงพักครึ่งเวลาโดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงตามหลังอยู่จากประตูของเคร้าช์ ในครึ่งเวลาแรกที่เต็มไปด้วยความดุเดือดรุนแรงในศึกระหว่างคู่ปรับตลอดกาล
มิเกล ซิลแวสตร์ ถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ โดยหลุยส์ ซาฮา ถูกส่งลงมาเล่นแทน มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งให้คีแรน ริชาร์ดสัน ขยับถอยลงไปแทนตำแหน่งแบ็คซ้ายของซิลแวสตร์ และรูนี่ย์ ขยับไปเล่นเป็นกองกลางฝั่งซ้าย
ไม่นานนัก ซาฮา ก็ได้โอกาสโหม่งเต็มหัวจากลูกเปิดของเนวิลล์ แต่ฟินแน่น และเรน่า ก็ช่วยกันสกัดไม่ให้บอลข้ามเส้นประตูไปได้
ฟาน นิสเตลรอย ได้โอกาสส่งบอลข้ามเส้นประตูไปอีกครั้งในนาทีที่ 66 จากลูกจ่ายทะลุช่องของซาฮา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ดาวยิงสูงสุดของปิศาจแดง ถูกปฏิเสธการได้ประตูจากธงล้ำหน้าของผู้ช่วยผู้ตัดสิน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำเกมในครึ่งหลังได้ดีกว่า แต่ในนาทีที่ 69 พวกเขาก็เกือบจะพลาดเสียประตูง่ายๆ เจอร์ราร์ด เปิดลูกเตะมุมจากฝั่งขวาไปให้กับคีเวลล์ ซึ่งมีที่ว่างและเวลามากพอในการเลือกยิงแต่ลูกยิงของเขาไปติดบล็อก
ปิศาจแดง ตอบโต้ด้วยการโหมบุกเข้าใส่ประตูฝั่งแอนฟิลด์ โร้ด และก็เกือบจะเป็นผลสำเร็จ ไรอัน กิ๊กส์ เกือบจะทำประตูได้แต่ลูกยิงสุดสวยของเขาพุ่งไม่ตรงกรอบ
ความผิดหวังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบลงด้วยเรื่องเศร้าสลด เมื่ออลัน สมิธ ซึ่งถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองแทนที่ของดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ ในนาทีที่ 77 ประสบกับอาการบาดเจ็บสาหัสที่ขาซ้าย สมิธ ลงพื้นผิดจังหวะหลังจากพุ่งเข้าบล็อกลูกยิงของยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ และนักเตะที่อยู่ใกล้รีบส่งสัญญาณเรียกแพทย์สนามเข้าไปดูอาการในทันที สมิธ ได้รับการปฐมพยาบาลหลายนาทีก่อนที่จะถูกหามด้วยเปลออกจากสนามไปพร้อมกับเสียงปรบมือทั่วสนาม ฟาน นิสเตลรอย เป็นนักเตะคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์และเขาก็เมินหน้าหนีด้วยความสยองในสิ่งที่เขาได้เห็น มันเป็นอาการบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่งที่ขาซ้ายของสมิธ
หลังจากช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 7 นาที เสียงนกหวีดหมดเวลาก็ดังขึ้นพร้อมกับโอกาสที่หมดสิ้นลงในการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (บรรยายเกมโดย DaKinG)
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล
โฆเซ่ เรน่า 25
เจมี่ คาร์ราเกอร์ 23 ( น. 62)
สตีฟ ฟินแน่น 3
ซามี่ ฮูเปีย 4 ( น. 53)
สตีเว่น เจอร์ราร์ด 8
ดีทมาร์ ฮามันน์ 16 ( น. 48)
แฮร์รี่ คีเวลล์ 7 ( น. 79)
ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ 6
โมฮัมเหม็ด ซิสโซโก้ 22
ปีเตอร์ เคร้าซ์ 15 ( น. 19)
เฟอร์นานโด มอริเอ็นเตส 19
สำรอง
เจอร์ซี่ ดูเด็ค 1
ฌิมี่ ตราโอเร่ 21
แยน ครอมแคมป์ 2 น. 82 แฮร์รี่ คีเวลล์ 7
หลุยส์ การ์เซีย 10 น. 62 เฟอร์นานโด มอริเอ็นเตส 19
ฌิบริล ซิสเซ่ 9 น. 88 ปีเตอร์ เคร้าซ์ 15
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 19
เวส บราวน์ 6
แกรี่ เนวิลล์ 2 ( น. 74)
มิเกล ซิลแวสตร์ 27
เนมานย่า วิดิช 15 ( น. 76)
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24
ไรอัน กิ๊กส์ 11 ( น. 33)
คีแรน ริชาร์ดสัน 23
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7
เวย์น รูนี่ย์ 8
รุด ฟาน นิสเตลรอย 10
สำรอง
ทิม โฮเวิร์ด 1
เชราร์ด ปิเก้ 28
ปาร์ค จีซุง 13 น. 90 อลัน สมิธ 14
หลุยส์ ซาฮา 9 น. 45 มิเกล ซิลแวสตร์ 27
อลัน สมิธ 14 น. 76 ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24
สถิติของเกม
ลิเวอร์พูล ประตู 1, ยิงตรงกรอบ 5, ยิงหลุดกรอบ 3, โดนบล็อค 2, เตะมุม 8, ฟาวล์ 22, ใบเหลือง 4, การครองบอล 55%
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงตรงกรอบ 3, ยิงหลุดกรอบ 2, โดนบล็อค 2, เตะมุม 4, ฟาวล์ 19, ล้ำหน้า 3, ใบเหลือง 3, การครองบอล 45%
Por